ความงามและประวัติความเป็นมาของกระจกแกรมมอนไทน์
Grammontine เป็นแก้วประเภทหนึ่งที่ผลิตในศตวรรษที่ 17 และ 18 ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นโทนสีน้ำเงินที่โดดเด่นซึ่งเกิดจากการมีโคบอลต์ออกไซด์ในสูตรแก้ว ชื่อ "Grammontine" มาจากเมืองเกาดา ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก แก้วแกรมมอนทีนได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้น และถูกนำมาใช้กับสิ่งของต่างๆ รวมถึงแก้วน้ำ ขวดเหล้า และของตกแต่งอื่นๆ ได้รับการยกย่องในด้านความสวยงามและความทนทาน และตัวอย่างกระจก Grammontine จำนวนมากยังคงพบเห็นได้ในพิพิธภัณฑ์และคอลเลกชันส่วนตัว
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของกระจก Grammontine คือโทนสีน้ำเงิน ซึ่งเกิดจากการมีโคบอลต์ออกไซด์อยู่ใน สูตรแก้ว ทำให้แก้วมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและโดดเด่น แตกต่างจากแก้วประเภทอื่นๆ ที่ผลิตในช่วงเวลานี้ นอกจากสีฟ้าแล้ว แก้ว Grammontine ยังขึ้นชื่อในด้านคุณภาพและความทนทานสูง ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับใช้กับวัตถุต่างๆ แก้ว Grammontine ผลิตในประเทศเนเธอร์แลนด์ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 และเชื่อกันว่ามี มีต้นกำเนิดในเมืองเกาดา ไม่ทราบสูตรการผลิตที่แน่นอนของแก้ว Grammontine แต่เชื่อกันว่ามีโคบอลต์ออกไซด์ผสมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้แก้วมีโทนสีน้ำเงินที่โดดเด่น แก้วนี้ผลิตขึ้นโดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า "งานเปลวไฟ" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้ความร้อนแก่แก้วที่อุณหภูมิสูงและขึ้นรูปด้วยที่เป่าแก้ว แก้วแกรมมอนไทน์เป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้น และถูกนำมาใช้กับวัตถุหลายประเภท รวมถึงแก้วน้ำ ขวดเหล้า และของตกแต่งอื่นๆ ได้รับการยกย่องในด้านความสวยงามและความทนทาน และตัวอย่างแก้ว Grammontine จำนวนมากยังคงพบเห็นได้ในพิพิธภัณฑ์และคอลเลกชันส่วนตัวในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับความนิยม แต่การผลิตแก้ว Grammontine ก็ลดลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เนื่องจากแก้วประเภทอื่นๆ มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายมากขึ้น ในปัจจุบัน แก้ว Grammontine เป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นอย่างมาก และถือเป็นแก้วที่มีคุณค่าและหายาก สีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพสูงทำให้กลายเป็นส่วนเสริมอันล้ำค่าสำหรับคอลเลกชันใดๆ และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทำให้เป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์การผลิตแก้ว



